ภาษีอากร
ความหมายของภาษี
ภาษี หมายถึงเงินที่เรียกเก็บจากประชาชนเพื่อนำไปวิวรรธน์ประเทศ ซึ่งมีอยู่ 2 ประเภทคือ ภาษีทางตรง เป็นภาษีที่เก็บจากประชาชนที่มีรายได้จากการประกอบอาชีพและภาษีที่ได้จากการประกอบกิจการทางการค้าขาย บริการ และอุตสาหกรรม และภาษีทางอ้อม เป็นภาษีที่เก็บจากประชาชนเมื่อซื้อของซื้อของขายและบริการต่างๆที่เรียกกันอีกอย่างหนึ่งว่าภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งประชาชนทุกคนจำเป็นที่จะต้องเสียภาษีเพราะผลกำไรของการเสียภาษีจะกลับมาตอบแทนประชาชนใน 2 ลักษณะคือ
2. นำมาใช้ในการปรับปรุงประเทศ เช่น สร้างถนน สร้างโรงเรียน เป็นต้น ประเภทของภาษีที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ ภาษีที่มีความเกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจมีอยู่มากมายหลายประเภท
แต่ในบทความนี้จะขอกล่าวถึงเพียง 2 ประเภทเท่านั้น คือ ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีนิติบุคคล เหตุผลก็เนื่องมาจากมีความเกี่ยวข้องกับผู้ที่เริ่มทำธุรกิจใหม่ ที่การงานยังไม่มีขนาดใหญ่เบ้อเริ่มมากนัก จึงเข้าเกณฑ์ของภาษีทั้ง 2 ประเภทนี้มากที่สุด ซึ่งพลความของภาษีทั้ง 2 ประเภทมีดังต่อไปนี้
ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา คือ ภาษีที่เรียกเก็บจากบุคคลธรรมดาทั่วไป ตามที่ข้อบังคับบัญญัติและมีรายได้เกิดขึ้นตามเกณฑ์ที่กำหนด ซึ่งเจ้าของกิจการหรือธุรกิจอะไรก็ตามแต่ ที่มีตัวเองเป็นเจ้าของแต่เพียงผู้เดียว จะเข้าข่ายอยู่ในหลักเกณฑ์ที่ต้องเสียภาษีประเภทนี้ โดยปกติจะทำการจัดเก็บเป็นรายปี โดยรายได้ที่เกิดขึ้นในปีใดๆก็ตาม ผู้มีเงินได้ต้องนำไปยื่นแสดงโพยภาษีที่กำหนดในช่วงระหว่างเดือนมกราคมถึงเดือนมีนาคมของปีถัดไป
ภาษีเงินได้นิติบุคคล คือ ภาษีอากร ประเภทหนึ่งที่ข้อกำหนดไว้ ซึ่งจะเรียกเก็บจากนิติบุคคล ที่มีความหมายถึงการรวมตัวกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปในการลงชื่อเพื่อริเริ่มตั้งขึ้นกลุ่มขึ้นเพื่อประกอบธุรกิจอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งในที่นี้หมายถึงห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด ฯลฯ ด้วยเป็นต้นกฏเกณฑ์ในการคิดเงินค่าธรรมเนียมจากผู้สร้างธุรกิจ
เกณฑ์ในการเรียกเก็บภาษีเงินได้ในภาษีแต่ละสายมีความแตกต่างกันออกไป โดยหลักปฏิบัติการเรียกเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ที่เป็นผู้ที่เป็นเจ้าของธุรกิจแต่เพียงผู้เดียวจะต้องไปเสียภาษีตามหลักปฏิบัติดังนี้คือ กรณีไม่มีคู่สมรสและมีรายได้ที่ประเมินแล้วเกิน 30,000 บาท นับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ถึง 31 ธันวาคมจะต้องเสียภาษี ถ้าน้อยกว่านี้ได้รับการยกเว้น กรณีมีคู่สมรสต้องมีเงินได้ที่รวมกันแล้วเกิน 60,000 บาท และห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่ไม่ใช่นิติบุคคลถ้ามีเงินได้เกิน 30,000 ก็ต้องเสียภาษีเช่นกัน ส่วนบ้านเกิดของภาษีเงินได้นิติบุคคลมาจากการคำนวณเงินได้ที่ใช้เป็นใบแสดงหลักฐานในการคำนวณคูณด้วยอัตราภาษีที่กำหนด ซึ่งเงินได้ที่ต้องเสียสรรพากรรายได้นิติบุคคลหรือฐานภาษีเงินได้นิติบุคคลนั้น ทั่วไปมักมาจากผลกำไรสุทธิที่คำนวณตามข้อจำกัดที่กำหนด แต่ทั้งนี้เพื่อความเป็นธรรมจึงทำการบัญญัติการจัดเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลจากเงินได้ที่แตกต่างกันดังนี้ 1. กำไรสุทธิ 2. ยอดรายได้ก่อนหักรายจ่าย 3. เงินได้ที่จ่ายจากหรือในประเทศไทย 4. การจำหน่ายเงินกำไรออกไปจากประเทศไทย เป็นต้น ซึ่งการคำนวนภาษีทั้ง 2 รูปแบบ ผู้ประกอบการสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ กรมสรรพกร
การยื่นแบบแสดงสรรพากร
สำหรับภาษีรายได้บุคคลธรรมดา คุณสามารถยื่นได้ที่สำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขา โดยต้องเติมเอกสารให้ครบถ้วนจากนั้นจึงยื่นแบบ ภ.ง.ด.90 หรือ ภ.ง.ด. 91 ส่วนสรรพากรรายได้นิติบุคคล ถ้าอยู่ในเขตกรุงเทพมหานครให้ยื่นแบบแสดงรายการภาษี ภ.ง.ด.50 ,ภ.ง.ด.51,ภ.ง.ด.53,ภ.ง.ด.54 ได้ที่สำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขาในท้องที่สำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ ถ้าในเขตจังหวัดอื่นให้ยื่นแบบแสดงรายการภาษี ภ.ง.ด.50 ,ภ.ง.ด.51,ภ.ง.ด.53,ภ.ง.ด.54 ที่ว่าการอำเภอหรือ อำเภอท้องที่ที่สำนักงานใหญ่ตั้งอยู่แต่ในปัจจุบันการยื่นภาษีแสดงรายได้นั้นเป็นเรื่องที่ง่ายและสะดวกรวดเร็วและเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับผู้ประกอบการมากขึ้น โดยเปิดให้บริการยื่นแบบแสดงโปรแกรมสรรพากรผ่านทางอินเตอร์เน็ตโดยคลิกไปที่เว็บไวต์สรรพกร ยื่นภาษีผ่านอินเตอร์เน็ต
ผู้ผลิตควรตระหนักไว้ว่าเงินสรรพากรที่จ่ายออกไปนั้นจะมีส่วนช่วยรุดหน้าประเทศชาติให้เจริญมั่นคงมากขึ้น ซึ่งท้ายที่สุดผลดีก็จะมาตกอยู่กับตัวผู้ประกอบการนั่นเอง ดังนั้นการจ่ายภาษีจึงเป็นหน้าที่ที่พสกเต็มขั้นพึงกระทำ อย่าได้คิดพยายามเลี่ยง หรือหาที่ว่างทางกฎหมายที่จะไม่จ่าย เพราะการเสียเงินภาษีคือหน้าที่ของฝูงชนที่ดีที่ควรทำการกันเป็นประจำทุกปี